Project Description

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้
สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

1. สืบ ตม 2…รวบหนุ่มเมืองลอดช่องและหนุ่มปากีหลบหนีเข้าเมืองคาสนามบินสุวรรณภูมิ! กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้ดำเนินการสืบสวนหาข่าว พร้อมทั้งดำเนินการเฝ้าระวังกรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส
โคโรนา-2019 อย่างต่อเนื่อง โดยปรากฏผลการปฏิบัติดังนี้
1.1 ได้ตรวจพบคนต่างด้าวต้องสงสัยบริเวณชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองพร้อมขอทำการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง ผลการตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวต้องสงสัยข้างต้นเป็นคนต่างด้าวสัญชาติสิงคโปร์ และจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (BIOMETRICS) ไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้าในราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด จึงได้จับกุมในฐานความผิด “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” นำส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


1.2 ได้ตรวจพบคนต่างด้าวต้องสงสัยบริเวณชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองพร้อมขอทำการตรวจสอบเอกสารการเดินทาง ผลการตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวต้องสงสัยข้างต้นเป็นคนต่างด้าวสัญชาติปากีสถาน และจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (BIOMETRICS) ไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้าในราชอาณาจักรไทยแต่อย่างใด จึงได้จับกุมในฐานความผิด “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ” นำส่ง พงส.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และ


2. จับหนุ่มนอร์เวย์ใช้ C.O.E. ปลอมหลอก ตม. เข้าประเทศเพื่อหาแฟนสาว กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ได้ร่วมกับ ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในการจับกุมคนชายชาวนอร์เวย์ โดยคนต่างด้าวรายดังกล่าวนี้ได้ยื่นแสดงหนังสือรับรองจากสถานกงสุลเพื่อเดินทางเข้าในประเทศไทยซึ่งน่าเชื่อว่าอาจจะเป็นของปลอมกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประจำช่องตรวจ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้ประสานการตรวจสอบกับสถานกงสุลไทยประจำเมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ โดยได้รับการยืนยันเอกสารดังกล่าวเป็นของปลอม จึงได้ดำเนินการจับกุมในฐานความผิด “ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม” และนำส่ง พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

3. สืบ ตม.2 บูรณาการ ปส. สกัดจับยาไอซ์และโคคาอีน รวมน้ำหนักกว่า 10 กิโล คาสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในระดับสำนักตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มบุคคล หรือขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ ที่จะเข้ามาดำเนินการสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศได้ ทั้งนี้ ผลมาจากการบูรณาการปฏิบัติด้านการข่าวระหว่าง กองกำกับการสืบสวนปราบปราม กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และ กองกำกับการ 1 (นปส.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การปฏิบัติการ AITF ในการลักลอบนำเข้าหรือส่งออกยาเสพติดให้โทษ และจากการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องได้ดำเนินการจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย


3.1 ได้ร่วมกันจับกุม 2 ชายไทยซึ่งคาดว่าเป็นแรงงานจะเดินทางไปยังประเทศอิสราเอล ได้ลักลอบขนยาเสพติดประเภท 1 (Methamphetamine) บรรจุในซองเกลือแร่ซุกซ่อนในกระเป๋าเดินทาง น้ำหนักรวมกว่า 6.195 กิโลกรัม โดยเชื่อว่า ผู้ถูกจับกุมอาจจะนำไปจำหน่ายที่ประเทศอิสราเอล จึงได้ดำเนินการจับกุมในฐานความผิด “พยายามนำยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” และนำส่ง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
3.2 ได้ร่วมกันจับกุมหญิงไทยซึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองแอดดิสอะบาบา ประเทศเอธิโอเปีย ได้ลักลอบขนยาเสพติดประเภท 2 (โคคาอีน) ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางทรงแข็ง น้ำหนักรวมกว่า 3.1 กิโลกรัม โดยเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมเป็นเพียงผู้รับจ้างขนและจะนำยาเสพติดดังกล่าวไปส่งให้เครือข่ายยาเสพติดแก๊งแอฟริกาต่อไป เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการจับกุมในฐานความผิด “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” และนำส่ง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


3.3 ได้ร่วมกันจับกุมหญิงไทยซึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองแอดดิสอะบาบา ประเทศเอธิโอเปีย ได้ลักลอบขนยาเสพติดประเภท 2 (โคคาอีน) ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางทรงแข็ง น้ำหนักรวมกว่า 1.55 กิโลกรัม โดยเชื่อว่าผู้ถูกจับกุมเป็นเพียงผู้รับจ้างขนและจะนำยาเสพติดดังกล่าวไปส่งให้เครือข่ายยาเสพติดแก๊งค์แอฟริกาต่อไป เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการจับกุมในฐานความผิด “นำยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมียาเสติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต” และนำส่ง พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ ๕๐๗ ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๒ หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ ๑๑๗๘ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง